วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

Epistemology

ญาณวิทยาตามแนวความคิดของ Bertrand Arthur William Russell

ความรู้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

หรือว่าความรู้เกิดจาก..........?


หรือว่าสิ่งนี้เป็นบ่อเกิดของความรู้?

1.  ความหมายของญาณวิทยา
ญาณวิทยา (Epistemology) เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยรูปแบบของความรู้   พัฒนาการ   และขอบเขตของความรู้   ญาณวิทยาตามศัพท์หมายความว่า  ศาสตร์แห่งความรู้ Science  of  knowledge เป็นคำที่ประกอบขึ้นด้วย  คำ 2 คำ คือ Episteme  ซึ่งหมายความว่า  ความรู้กับคำว่า Logos   ซึ่งมีความหมายว่าศาสตร์หรือทฤษฎี  ญาณวิทยาศึกษาเรื่องกำเนินความรู้   เนื้อหาของญาณวิทยาก็คือ  การศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการ  วิธีการ  วัตถุประสงค์  ลักษณะ เงื่อนไข  ความมีเหตุผล  และความคลาดเคลื่อนของความรู้  โดยเอาวิธีการของปรัชญาคือ  วิธีนิรมัย  วิธีอุปนัย  วิธีวิเคราะห์  และวิธีสังเคราะห์  มาใช้ในการอภิปราย  ปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วนั่นเอง   และมีทัศนะแบบปรัชญา  (ชัยวัตน์ อัตพัฒน์, 2547 : 3-14)
1.1 เหตุผลนิยม (Rationalism) กล่าวว่า เหตุผลเป็นแหล่งเกิดความรู้ แต่ต้องเป็นเหตุผลที่เกิดจากสหชาตปัญญา (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 3) เป็นความคิดติดตัวมาตั้งแต่กำเกิด (innate idea) ซึ่งบางที่เรียกว่า สหชาตปัญญาบ้าง สหัชฌญารบ้าง ตามหลักพุทธธรรม เดส์คาร์ตส์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส มีความเชื่อมั่นในจิตนิยมแบบโบราณและในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มีทัศนะว่า ปรัชญากับวิทยาศาสตร์สามารถประสานกันได้กับศาสนา เดส์คาร์ตส์สร้างทฤษฎีความรู้โดยอาศัยเหตุผลที่ว่า
ความรู้เกิดจากการคิดหาเหตุผลและความรู้จะต้องเกิดจากความสงสัยเป็นมูลฐาน เหตุผลสามารถกำจัดความสงสัยได้ และความจริงย่อมปรากฏในอันดับต่อมา ดังนั้น ความสงสัยกับความจริงจึงไม่ขัดกัน หรือไม่ใช่สิ่งตรงกันข้าม เพราะว่าความสงสัยเป็นทาง ส่วนความจริงเป็นจุดหมายปลายทาง หรือความสงสัยเป็นจุดเริ่มต้น ส่วนความจริงเป็นประตูชัย” (บุญมี แทนแก้ว, 2533: 72-73)
1.2 ประจักษ์นิยม (Empiricism) กล่าวว่า ความรู้ทุกอย่างจะเป็นจริงได้ต้องอาศัยประสบการณ์ด้วยตนเอง (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 4) จอห์น ล็อด นักปรัชญาสมัยใหม่ชาวอังกฤษกล่าวว่า ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสเป็นบ่อเกิดของความรู้ การคิดหาเหตุผลจะเกิดได้จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ก่อน ด้วยเหตุนี้ ประสบการณ์จึงเป็นบ่อเกิดของความรู้ จอห์น ล็อด กล่าวไว้ว่า (บุญมี แท่นแก้ว, 2527: 12)
“จิต (ใจ) เปรียบเหมือนกระดาษขาวหรือกระดาษชนวนที่ยังว่างเปล่า ไม่มีรอยขีดเขียนมาแต่เดิม เมื่อจิตได้รับความนึกคิดจากประสบการณ์ จึงใคร่ครวญด้วยเหตุผลเพื่อหาความรู้จริง ถ้าไม่มีประสบการณ์แล้วจิตจะไม่คิดเลย”
1.3 อนุมานนิยม (Apriorism) กล่าวว่า ความรู้ไม่ได้มีเฉพาะที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือไม่ได้มีเฉพาะอาศัยประสบการณ์ แต่ความรู้เกิดเพราะอาศัยเหตุปัจจัยทั้ง 2 อย่าง กล่าวคือ “การอนุมานจากหลักทั่วไป (ความรู้เดิม) และการอุปมานจากประสบการณ์เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อิมมานูเอล ค้านท์ ได้แยกแยะให้เห็นความแตกต่างระหว่างเนื้อหาของความรู้กับรูปแบบของความรู้ว่า เนื้อหาของความรู้ได้จากประสบการณ์ แต่รูปแบบของความรู้ได้จากการคิดหาเหตุผล” (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 7)

2.  ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ความรู้ที่ได้จากวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่เกิดจากการทดลอง ทดสอบ วิเคราะห์ วิจัยด้วยเครื่องมือทางเทคโนโลยีต่างๆ มีเหตุผลตามหลักตรรกวิทยา (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 85-86) โดยทั่วไปแล้ววิธีการรู้ทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ กล่าวคือ  (วิรุฬห์ บุญสมบัติ, 2521:7)
2.1 พิจารณาปัญหาที่สนใจว่ามีอะไรเป็นองค์ประกอบของปัญหา (กำหนดปัญหา)
2.2 สังเกตการณ์ที่เกี่ยวกับปัญหา (ตั้งข้อสมมติฐาน)
2.3 วางข้อสมมติฐานหรือทำการทดลองและเก็บข้อมูล
2.4 พยากรณ์ปรากฏการณ์ต่างๆ (วิเคราะห์)
2.5 รวบรวมข้อมูลสำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของสมมติฐาน (สรุป)
2.6 ถ้าถูกต้องยอมรับสมมติฐานนั้นไว้เพื่อเป็นกฎต่อไป หากไม่ก็ต้องปรับปรุง (แก้ไขสมมติฐาน)
ลักษณะความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงมีพื้นฐานอยู่บนวิธีการอุปนัยคือการหาความจริงจากประสบการณ์เพื่อพิสูจน์บทสรุป สามารถสรุปลักษณะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ดังนี้ เป็นความรู้ที่ได้จากประสาทสัมผัส อันเป็นวิธีการทางอุปนัยในทางตรรกวิทยา เป็นความรู้ที่ไม่ตายตัว ไม่แน่นอน เพราะอาจถูกต้องในสมัยหนึ่ง แต่อาจไม่ถูกต้องอีกสมัยหนึ่ง เป็นความรู้ที่ให้พลังในการทำนายอนาคต (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 87) ข้อมูลทางประสาทสัมผัส  (Sense-Data) เป็นความรู้ที่ประสาทรู้ได้โดยตรง เช่น กลิ่น เสียง ความแกร่ง ความหยาบ เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้สามารถรู้ได้จากวัตถุใดวัตถุหนึ่ง จึงสามารถรับรู้ความรู้จริงถูกต้อง
3.  ทฤษฎีความรู้หรือญาณวิทยา
ในเรื่องทฤษฎีความรู้หรือญาณวิทยา รัสเซลล์กล่าวว่า “ความรู้ของมนุษย์ไม่สามารถจะรู้ถึงความเป็นจริงทั้งหมดได้ โดยเฉพาะในเรื่องธรรมชาติของสิ่งสร้างทั้งหลาย นอกเสียจากว่าเราจะรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งในเอกภพนี้ได้ก่อน แล้วเราจึงสามารถรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่นๆ ในเอกภพต่อไปอีกได้” (Frank Thilly, 1956: 604) รัสเซลล์ได้กำหนดหลักวิเคราะห์ความรู้ที่เราพึงรับได้ใน 3 กรณี กล่าวคือ
1) อาศัยพิชานหรือกิริยาที่ก่อให้เกิดความรู้ทางจิต
2) อาศัยข้อมูลทางประสาทสัมผัสหรือวัตถุที่เราสัมผัสทางประสาทที่ทำให้เราทราบสิ่งนั้นจริงๆ ได้
3) อาศัยวัตถุที่สัมผัส ที่เรารู้โดยอาศัยข้อมูลทางประสาทสัมผัสที่แน่วแน่
รัสเซลล์แบ่งความรู้ออกเป็น 2 ชนิด กล่าวคือ (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 99)
1)  ความรู้โดยประจักษ์ (Knowledge by Acquaintance) ความรู้ที่เกิดจากสิ่งที่รู้ซึ่งปรากฏแก่ผู้รู้โดยตรง โดยผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางใดทางหนึ่ง ความรู้ประเภทนี้คนเราจะต้องสัมผัสกับวัตถุที่ตนอยากรู้ ซึ่งจำเป็นที่คนเราจะต้องรู้ความสัมพันธ์ของวัตถุนั้นกับสิ่งอื่น ความรู้โดยประจักษ์นี้จัดเป็นความรู้โดยตรงหรือความรู้ตัววัตถุ (Object)
2)  ความรู้โดยการบรรยายหรือการบอกเล่า (Knowledge by Description) เป็นความรู้โดยอาศัยผู้อื่นบรรยายหรือผู้อื่นบอกเล่าอีกต่อหนึ่ง จะการอ่านตำราหนังสือเพื่อให้เกิดความรู้ก็เป็นความรู้โดยการบรรยายหรือการบอกเล่าเช่นกัน ความรู้ประเภทนี้ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราจะรู้โดยตรงแต่เป็นการบรรยาย การบอกเล่าหรือหนังสือตำราจะปรากฏแก่ผู้อยากรู้อีกต่อหนึ่ง ความรู้ประเภทนี้จัดเป็นความรู้โดยอ้อม เพราะต้องอาศัยสื่อกลางกล่าวคือ ผู้สอน ผู้บรรยาย ผู้ชี้แนะ หรือตำราอีกต่อหนึ่ง เราจึงจะเกิดความรู้ได้
ในทัศนะของรัสเซลล์ โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ เราไม่สามารถจะรู้ได้แจ่มแจ้งถึงความจริงของมัน และไม่สามารถสืบรู้ไปถึงลักษณะบางส่วนของโลกที่ห่างไกลจากประสบการณ์ของเราได้ ตามความเป็นจริงแล้วมนุษย์เราไม่อยู่ในวิสัยที่จะตัดสิ้นชี้ขาดหรือตัดสินตกลงใจได้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิ่งที่สัมผัสหรือประจักษ์ด้วยตนเองไม่ได้ เช่น พระเจ้า วิญญาณ นรก สวรรค์ เป็นต้น ดังนั้น การที่จะนำเอาความรู้ของมนุษย์มาตัดสิ้นชี้ขาดว่าสิ่งใดจริง สิ่งใดไม่จริงนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ธรรมดา เนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่มีมนุษย์คนใดมีความรู้ขั้นอันติมะ (Ultimate) ซึ่งไม่สามารถจะตัดสินชี้ขาดลงไปได้ว่า อะไรจริง อะไรเท็จ ได้อย่างเด็ดขาดถูกต้องและก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดอีกด้วย (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 100)

4.  ความรู้ของมนุษย์
การที่มนุษย์จะเชื่ออะไรนั้น ต้องอาศัยสามัญสำนึก ซึ่งรัสเซลล์เรียกว่า “ความเชื่อโดยสัญชาตญาณ” (Instinctive Belief) (Bertrand Russell, 1958: 37) รัสเซลล์กล่าวว่า มนุษย์ไม่สามารถชี้ขาดหรือตัดสินลงไปว่าความเป็นจริง (Reality) คืออะไร แต่สิ่งที่ควรสนใจให้มากคือวิธีการที่เราจะรู้ หรือเราสามารถมีความรู้ได้โดยวิธีใดบ้าง มนุษย์จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลทางประสาทสัมผัส (Sense-Data) หมายถึง แหล่งที่สามารถให้เกิดความรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensation) เช่น สี เสียง กลิ่น รส รูป ความหมาย ของวัตถุ เช่น โต๊ะ เป็นต้น เราสามารถเกิดการรับรู้ได้ทางประสาทสัมผัสได้เมื่อเราประสบกับโต๊ะนั้น ดังนั้น เมื่อเราเห็นสีของโต๊ะ เราจะรู้ทางประสาทสัมผัสในเรื่องนั้นทันที แต่ตัวสีของโต๊ะนั้นเป็นข้อมูลทางประสาทสัมผัส ไม่ใช่เป็นการรับรู้ทางประสาทสัมผัส การรับรู้ทางประสาทสัมผัส เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การสัมผัสถูกต้องกับข้อมูลทางประสาทสัมผัสโดยตรง เพราะเรามีสามัญสำนึกหรือความเชื่อโดยสัญชาตญาณอยู่แล้ว จึงมีการคาดคะเนไปถึงสิ่งสิ่งนั้น
รัสเซลล์กล่าวว่า มนุษย์ไม่สามารถตัดสินว่า อะไรเป็นความจริงกันแน่ และความจริงชนิดนี้ รัสเซลล์กล่าวว่า จะต้องอาศัยสามัญสำนึกที่เรียกว่า “ความเชื่อโดยสัญชาตญาณ” (Instinctive Belief) จึงจะสามารถรู้สิ่งนั้นได้ เพราะสิ่งที่เราต้องรู้ในทัศนะของรัสเซลล์มีอยู่ 2 อย่าง กล่าวคือ (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 101-104)
1)  การรู้สิ่งของหรือวัตถุที่เราต้องการจะรู้ (Object) เป็นการรู้สิ่งที่ปรากฏขึ้นโดยธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 2 อย่าง
1.1) การรู้โดยตรง เป็นการรู้โดยไม่ต้องอาศัยสื่อกลางหรือไม่ต้องมีอุปกรณ์สื่อกลางเป็นการรู้โดยตรง (by acquaintance) ในรูปแบบนี้ยังสามารถแบ่งออกได้อีก 2 ระดับ กล่าวคือ
1) การประจักษ์และประสบด้วยตนเอง โดยอาศัยความทรงจำ (acquaintance by memory) เป็นความรู้โดยตรงเกิดจากความทรงจำ เป็นบ่อเกิดของความรู้ เช่น เรื่องเหตุการณ์ในอดีตที่เราเคยประสบมาและสามารถจำได้ ถ้าไม่มีความรู้ระดับนี้ก็ไม่สามารถอนุมานไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตได้
2) การประจักษ์และประสบด้วยตนเอง โดยการพินิจภายใน (acquaintance by introspection) เป็นการรู้โดยตรงที่เกิดจากการพินิจคิดใคร่ครวญภายในหรือตระหนักด้วยตัวของเราเอง เช่น เมื่อเราเห็นดวงจันทร์ เราพินิจใคร่ครวญ ตรึกตรองดูว่าเรากำลังมองเห็นดวงจันทร์ การเห็นดวงจันทร์เช่นนั้น จึงเป็นสิ่งที่เราประจักษ์หรือประสบมาด้วยตนเอง
1.2)  การรู้โดยทางอ้อม เป็นการรู้โดยอาศัยสื่อกลาง โดยมีการบอกเล่า การบรรยาย การพรรณนา การชี้แนะ (by description) การสั่นสอนของผู้อื่น หรือจากคัมภีร์ ตำราก็จัดเข้าในความรู้โดยทางอ้อม การรู้แบบนี้จำเป็นต้องอาศัยหลักเหตุผล หรือหลักการทั่วๆ ไปเข้ามาประกอบหรืออ้างอิงด้วย
2)  การรู้ความเป็นจริง (Reality) เป็นความรู้ความแท้จริงของสิ่งนั้นๆ เป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง แบ่งออกได้ 2 อย่าง กล่าวคือ
2.1)  การรู้โดยตรง เป็นการรู้โดยอาศัยญาณวิเศษ สามัญสำนึกหรืออัชฌัตติกญาณ (by intuition) เป็นความรู้ที่ผุดขึ้นเองในจิตใจมีลักษณะคล้ายปฏิภาณหรือญาณสังหรณ์
2.2)  การรู้โดยอ้อม เป็นการรู้โดยอาศัยการคิดใคร่ครวญวิเคราะห์ วิจัยพิจารณาด้วยเหตุและผล โดยอาศัยความรู้อย่างอื่นเป็นตัวกลางหรือเป็นสื่อกลางเข้าประกอบโดยอาศัยประสบการณ์บ้าง อาศัยความรู้เดิมที่ตนอยู่ที่น่าเชื่อถือบ้าง อาศัยคัมภีร์หรือตำราที่ถูกต้องที่น่าเชื่อถือบ้าง กล่าวคือ ความรู้โดยอ้อมเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นโดยสรุปความรู้อื่น หรือจากข้อมูลอื่นๆ นอกจากตัวเราเอง
การวิจารณ์ใคร่ครวญข้อความเพื่อให้เกิดความรู้จะเป็นโดยการบอกเล่า การบรรยาย การพรรณนา การชี้แนะ จนสามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มชัด จะต้องอาศัยสิ่งที่เราประจักษ์หรือประสบการณ์ที่เราเคยประจักษ์ เคยคุ้นเคยมาแล้วทั้งสิ้นและจำเป็นต้องอาศัยการเสริมสร้างศรัทธาทางสัญชาตญาณ (instinctive belief) เป็นพื้นฐานเบื้องต้นเพื่อเป็นบ่อเกิดของความรู้

5.  สรุป
ญาณวิทยา (Epistemology) เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการตรวจสอบบ่อเกิดความรู้ หรือตรวจสอบแหล่งที่มาของความรู้  ศึกษาถึงกำเนิดธรรมชาติ ขอบเขตและความสมบูรณ์แห่งความรู้  ตลอดถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความรู้ พยายามหามาตรฐานว่าอะไรเป็นความรู้จริง และเรารู้ความจริงได้อย่างไร
สำหรับ เบอร์ทรันด์ อาร์เธร์ วิลเลียม รัสเซลล์ (Bertrand A.W. Russell) กล่าวว่า มนุษย์จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลทางประสาทสัมผัส เพราะแหล่งหรือบ่อเกิดของความรู้เกิดจากการรับรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensation) เช่น สี เสียง กลิ่น รส รูป ฯลฯ เป็นต้น รัสเซลล์ได้แยกระหว่างความรู้หรือความรู้สึก (เพทนาการ) เป็นประสบการณ์เพื่อให้เกิดความรู้ กับข้อมูลทางประสาทสัมผัสได้แก่สีที่เรารู้ออก กล่าวคือ เมื่อเราเห็นสีจะเกิดความรู้หรือความรู้สึก (เพทนาการ) ในเรื่องนั้นทันที ตัวสีนั้นเองเป็นข้อมูลทางประสาทสัมผัส ไม่ใช่ความรู้หรือความรู้สึก (เพทนาการ) รัสเซลล์กล่าวว่า ข้อมูลทางประสาทสัมผัสเป็นสิ่งเฉพาะเจาะจงในแต่ละบุคคล ข้อมูลทางประสาทสัมผัสจะมีอยู่ต่อเมื่อมีความรู้สึกเท่านั้น เช่น สีจะไม่ปรากฏให้เราถ้าเราหลับตาหรือคนตาบอด ดังนั้น สิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่มนุษย์เราสามารถรับรู้ได้โดยทางประสาทสัมผัสเท่านั้น บ่อเกิดของความรู้มาจากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส

บรรณานุกรม
1) บุญมี แท่นแก้ว.ปรัชญาตะวันตก.กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2527
2) บุญมี แท่นแก้ว.ปรัชญาเบื้องต้นทั่วไป.กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2524
3) บุญมี แท่นแก้ว.ญาณวิทยา ทฤษฎีความรู้. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2542
4) วิรุฬห์ บุญสมบัติ. การศึกษาธรรมชาติวิทยา. กรุงเทพมหานคร,จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2521
5) Bertrand Russell. The Problems of philosophy.London: George Allen and Unwin Ltd,1958
6) F. Mayer. A History of Modern Philosophy. New York : American Book Company, 1952
7) Frank thilly. A History of Philosophy. Allahabad : Central Book Depot, 1956



วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

History of philosophy : Searching for Truth


ประวัติศาสตร์และการแสวงหาความจริง
"History of philosophy : Searching for Truth"



คำว่า "ประวัติศาสตร์" (History) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกกล่าวคือ "Histor" แปลว่า การรับรู้ ถ้าเติม "I" เข้าไปจะเป็น "Histori" แปลว่า การสอบสวน การตรวจตรา การค้นคว้าและการไต่ถาม มีคำที่ใกล้เคียงคือ "Historio" คำนี้แปลว่า การสอบถาม สืบถาม สืบสวน การไต่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 1)

ความหมายของประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์มีหลายความหมายกล่าวคือ ประวัติศาสตร์คือการบันทึกเหตุการณ์ เครื่องนำไปสู่อดีต การศึกษากิจกรรมทุกอย่างที่มนุษย์ในอดีตทำมาเพื่อศึกษาว่ามนุษย์คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ประวัติศาสตร์คือบันทึกเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ประวัติศาสตร์คือการสืบค้นหาสาเหตุ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 1) อาจกล่าวได้ว่าประวัติศาสตร์มีหลายความหมาย โดยหาข้อยุติไม่ได้
1.1  ประวัติศาสตร์คืออะไร
ประวัติศาสตร์คือการเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ ศึกษาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยตรง การศึกษาประวัติศาสตร์มักจะเข้าใจว่าเป็นการศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต กล่าวได้ว่า ประวัติศาสตร์คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกและเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 3)
อดีตมีความสำคัญอย่างไรถึงต้องเรียนรู้ กล่าวคือ มนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวของตนเองและเรื่องราวของผู้อื่น สิ่งแวดล้อม เรื่องราวของโลก ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้นจึงมีการไต่สวน การสอบถาม สืบสวนข้อเท็จจริง และจุดนี้เป็นการเริ่มต้นเรียนรู้อดีตที่มาจากความอยากรู้อยากเห็นเป็นเบื้องต้น การศึกษาประวัติศาสตร์ส่งเสริมให้มนุษย์รู้จักตนเอง โลกของตนและสังคมของตนมากยิ่งขึ้น การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เข้าใจปัจจุบันดี ทำให้สามารถวิเคราะห์ความบกพร่องในอดีตให้เป็นบทเรียนแก่ปัจจุบันและสืบต่อไปในอนาคต
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์จะทำให้มนุษย์รู้จักโลก สังคมและตนเอง เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง ภาคภูมิใจในการเป็นคนในสังคมและรัฐ เกิดความรักและความผูกพันในครอบครัววงศ์ตระกูล สังคมประเทศชาติ มีความปรารถนาที่จะทำดีเพื่อให้มีชื่อติดอยู่ในประวัติศาสตร์ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 5)
            1.2  การศึกษาและวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์
            การเรียนรู้ประวัติศาสตร์เริ่มต้นด้วยการสืบหา สอบถาม เพื่อสืบค้นหาข้อเท็จจริงก่อนที่จะเขียนบันทึก การเรียนรู้อดีตนานนานทำให้ไม่สามารถหาหลักฐานข้อเท็จจริงได้ จำเป็นต้องสร้างจินตนาการขึ้นมา เช่น เหตุการณ์น่าจะเป็นอะไร? เกิดอย่างไร? เหตุใดจึงเกิด? ผลเป็นอย่างไร? เป็นต้น เป็นการสร้างอดีตขึ้นมาใหม่ (Reconstruct the past) ตามที่จินตนาการน่าจะเป็นอะไร (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 6)
            การเขียนประวัติศาสตร์จำเป็นต้องมีการสืบค้นหาข้อเท็จจริงและคิดคาดคะเน (Speculate) ขึ้นกล่าวคือ เหตุการณ์จริงๆ นั้นเป็นอย่างไร เป็นการคิดคาดคะเนสร้างจินตนาการขึ้นจากข้อเท็จจริงที่มีอยู่ถือว่าเป็นการสร้างอดีตขึ้นมาใหม่ การศึกษาวัติศาสตร์เป็นการศึกษารายละเอียดทุกแง่มุมจนถึงความคิดความรู้สึกของผู้ก่อเหตุการณ์นั้นๆ ขึ้น การศึกษาประวัติศาสตร์จึงเป็นการศึกษาเหตุการณ์ ตัวบุคคล ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมของมนุษย์ผู้สร้างเหตุการณ์ขึ้น รวมถึงสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ประเพณีของบุคคลนั้นๆ เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาด้วยเช่นกันเพื่อที่จะเข้าใจอดีตอย่างแท้จริง ผู้เขียนประวัติศาสตร์มีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นผู้ถ่ายทอดเป็นลักษณ์อักษร เพื่อให้คนรุ่นต่อๆ มาได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของตน
            วิธีการศึกษาทางประวัติศาสตร์ต้องเริ่มด้วยการสืบค้นหาหลักฐาน หลักฐานประวัติศาสตร์มี 2 ประการ กล่าวคือ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 8)
            1 ซากวัสดุ กล่าวคือ วัตถุที่เหลือแต่ซากตกค้างมาให้เห็นจับต้องได้ เช่น วัตถุโบราณที่อยู่ใต้ดิน ฯลฯ เป็นต้น ถือเป็นซากวัสดุ เป็นหลักฐานชั้นต้น (Primary source) หลักฐานชั้นต้นที่ไม่เปลี่ยนแปลงจับต้องได้เห็นอยู่กับตา
            2 ลายลักษณ์อักษร เป็นบันทึกจดไว้มี 2 ลักษณะ กล่าวคือ
2.1 หลักฐานชั้นต้น ได้แก่ บันทึกของผู้สร้างเหตุการณ์และผู้เห็น เป็นการบันทึกลงวัตถุประเภทต่างๆ เช่น บันทึกลงบนหิน โลหะ ไม้ เป็นต้น ทุกอย่างที่ปรากฏเป็นตัวอักษรถือเป็นหลักฐานชั้นต้น
2.2 หลักฐานชั้นสอง ได้แก่ เอกสารจดบันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์โดยรับข้อมูลข้อเท็จจริงจากหลักฐานชั้นต้น เช่น แต่งเรื่องเหตุการณ์ใดๆ โดยใช้หลักฐานชั้นต้น
           
2. ปรัชญาแห่งประวัติศาสตร์
            ประวัติศาสตร์ถูกนำมาใช้ในความหมายที่แตกต่างกัน 2 ประการ กล่าวคือ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 89)
1 อดีตของมนุษย์ (Human past) ประกอบด้วย บรรดาเหตุการณ์และการกระทำ
            2 เรื่องราว (Accounts) เกี่ยวกับอดีตและวิธีการหรือรูปแบบตามสมัยนิยม ของการสืบสวนให้ได้มาซึ่งเรื่องราวหรือใช้วิธีการสืบสวนเพื่อนสร้างเรื่องราวขึ้นมาเป็นประวัติศาสตร์         
ความคิดของนักปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ นักปรัชญาส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปในทางการอธิบายถึงลักษณะและความสำคัญขอประวัติศาสตร์ และการวิเคราะห์การตั้งข้อสมมติฐาน นักปรัชญาแต่ละท่านมีแนวความคิดที่แตกต่างกันออกไปทั้งในด้านหลักการและรายละเอียด กล่าวได้ว่าแนวความคิดที่มีลักษณะเป็นนามธรรม (abstract) นักปรัชญาประวัติศาสตร์แบ่งออกได้ 2 แขนงใหญ่ๆ กล่าวคือ (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, สุชาติ สวัสดิ์ศรี, 2527: 77)
1  ปรัชญาประวัติศาสตร์ทฤษฎี (Speculative Philosophy of History)
นักปรัชญาแขนงนี้มุ่งเน้นที่จะศึกษาและสร้างทฤษฎีประวัติศาสตร์ กล่าวได้ว่า มุ่งศึกษาความหมายหรือความสำคัญของเหตุการณ์ หรือลักษณะทั่วๆ ไปของกระบวนการทางประวัติศาสตร์ (historical process) นักปรัชญาแขนงนี้เริ่มต้นด้วยนักบุญออกัสติน (St. Augustine : ค.ศ. 354-430) ท่านได้กล่าวว่า พระเป็นเจ้าเป็นผู้กำหนดประวัติศาสตร์ให้แก่มนุษยชาติ (Divine Providence) พระเจ้าได้วางแผนการอย่างเดียวกับชนทุกชาติ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์มีลักษณะเป็นสากล (universal) ที่รู้จักกันดีว่า "universal history" แนวความคิด หลักการของนักบุญออกัสตินมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ขัดแย้งกับแนวคิดของท่านกล่าวคือ Positivism, Historicism, German Idealism เป็นต้น โดยเสนอแนวคิดที่ว่า ประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยความสามารถของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียนรู้ได้
ปรัชญาประวัติศาสตร์วิเคราะห์ (Analytical Philosophy of History)
นักปรัชญาแขนงนี้มุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์การเขียนประวัติศาสตร์ในด้านเหตุผล นิบูห์ (Niebuhr) และรังเก (Ranke) เป็นผู้ที่วางรากฐานปรัชญาแขนงนี้ ท่านได้นำตรรกวิทยาและวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับประวัติศาสตร์ กล่าวได้ว่า นักปรัชญาแขนงนี้พยายามอธิบายและแสวงหาความเข้าใจและขอบเขตของปัญหาทางประวัติศาสตร์ 3 ประการ
2.1 การตีความและอธิบายความประวัติศาสตร์ ควรสร้างกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์หรือไม่? ประวัติศาสตร์มีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองและไม่ซ้ำรอยในลักษณะเดิม
2.2  การศึกษาประวัติศาสตร์จากเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่สำคัญ เช่น สงคราม ชัยชนะ ความพ่ายแพ้ รูปแบบการปกครอง ฯลฯ จากบทบาทของมนุษย์ในสังคม
2.3  ประวัติศาสตร์ควรเป็นอย่างไร นอกจากจะมุ่งเสนอความจริงแล้ว ควรเน้นในเรื่องคุณค่าหรือไม่

3. แนวคิดของนักปรัชญา
            3.1 ลัทธิมาร์กซิสต์ (Marxism)
            ลัทธิมาร์กซิสต์ถือว่า ประวัติศาสตร์ของสังคมมนุษย์เป็นการต่อสู้ เนื่องจากประวัติศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงไปโดยมีพลังการผลิตซึ่งเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดเรียกทัศนะนี้ว่านิยัตินิยมทางเศรษฐกิจ (economic determinism) เนื่องจากพลังการผลิตเป็นพลังทางวัตถุนั้นเป็นตัวผลักดันพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ (historical materialism) (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 177)
            ทฤษฎีประวัติศาสตร์ในทัศนะของคาร์ล มาร์กซ์ เน้นไปที่ พลังเศรษฐกิจที่มีส่วนสำคัญต่อความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งทั้งหลาย โดยชี้ขาดวิวัฒนาการแห่งประวัติศาสตร์เพราะสิ่งแรกสุดในการดำรงคงอยู่ของมวลมนุษย์และสิ่งแรกสุดในการสร้างประวัติศาสตร์ทั้งหลาย กล่าวคือ มนุษย์จะต้องอยู่ในฐานะที่จะดำรงชีพได้ก่อน จะสามารถสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นได้ ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจย่อมนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเบื้องบนที่ใหญ่กว่านั้น (Suprastructure) ได้แก่ ระบบสังคม เศรษฐกิจและระบบอุดมการณ์ ประวัติศาสตร์มีกฎเกณฑ์และมีคุณลักษณะที่แน่นอนจนทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้และมองเห็นอนาคตได้ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 182)
            มาร์กซ์ถือว่า มนุษย์คือผู้สร้างประวัติศาสตร์ของตนขึ้น โดยไม่ได้เน้นที่ว่า มนุษย์ได้สร้างประวัติศาสตร์ของตนขึ้นตามความพอใจส่วนตัว หากแต่สร้างประวัติศาสตร์ของตนขึ้นภายใต้ภาวะแวดล้อมของตน (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 182) กล่าวโดยสรุปแล้ว มาร์กซ์เน้นลัทธิวัตถุนิยมและถือว่าจิตสำนึกมีบทบาทเป็นรองในกระบวนการของประวัติศาสตร์
           ปัจจัยเศรษฐกิจมีบทบาทสำคัญขั้นชี้ขาดวิวัฒนาการแห่งประวัติศาสตร์ มาร์กซ์ได้กล่าวเสริมว่า ประวัติศาสตร์ของสังคมมวลมนุษย์ทั้งในอดีตและปัจจุบันคือประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ระหว่างชนชั้น (Karl Marx, 1963: 25) ความเคลื่อนไหวทางสังคมคือกระบวนการแห่งประวัติศาสตร์โดยธรรมชาติ
            ทฤษฎีประวัติศาสตร์ในทัศนะของมาร์กซ์กล่าวได้ว่า ประวัติศาสตร์มีกฎเกณฑ์แน่นอน พลังเศรษฐกิจชี้ขาดประวัติศาสตร์มากกว่าจะเป็นอุดมการณ์หรือจิตใต้มโนธรรมหรือจิตสำนึกใดๆ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่สามารถจะศึกษาอธิบายได้และสามารถหลีกเลี่ยงมิให้เกิดซ้ำได้ โดยวางแผนการดีเพื่ออนาคตกล่าวคือ มนุษย์สามารุหลีกเลี่ยงมิให้เหตุการณ์ใดๆ อุบัติขึ้นได้ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 184) ประวัติศาสตร์มีจุดมุ่งหมายในตัวของมันเอง วิธีไปสู่จุดมุ่งหมายนั้นคือ การปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพจุดมุ่งหมายนั้นคือ การบรรลุถึงลัทธิคอมมิวนิสม์ แต่เนื่องจากประวัติศาสตร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอดีตไม่ได้เกี่ยวกับอนาคต ประวัติศาสตร์ไม่มีจุดมุ่งหมายแน่นอนของมันเองเพราะมนุษย์ไม่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้
          มาร์กซ์ได้อธิบายเหตุและผลของประวัติศาสตร์ในเชิงเศรษฐกิจเป็นการกำหนดคำจำกัดความแก่ประวัติศาสตร์ “ประวัติศาสตร์ของสังคมที่ปรากฏคือประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ระหว่างชนชั้น” (Karl Marx, 1963: 22) ตามที่ปรากฏประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นเรื่องของการต่อสู้ระหว่างชนชั้นอย่างเดียว การต่อสู้อาจมีระหว่างบุคคลกล่าวคือ ระหว่างบุคคลกับบุคคล บุคคลกับธรรมชาติ บุคคลกับสังคม เป็นต้น หรือเป็นการต่อสู้ระหว่างประเทศกล่าวคือ สงครามโลก สงครามไครเมีย เป็นต้น ประวัติศาสตร์จึงควรจะเป็นประวัติศาสตร์ว่าด้วยพฤติกรรมของมนุษย์ อารยธรรม เป็นประวัติศาสตร์ว่าด้วยสรรพสิ่งที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและมโนธรรมของมนุษย์ ดังนั้นประวัติศาสตร์จึงไม่ได้เป็นประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ระหว่างชนชั้นเพียงประการเดียว

4. สรุป
ปรัชญาประวัติศาสตร์ทั้งสองแขนงมีความคิดเห็นที่ต่างกันมีหลักการที่ต่างกัน ประวัติศาสตร์มีขอบข่ายที่กว้างและล้ำลึกเกินกว่าที่จะหาข้อสรุปเพียงประการเดียว ประวัติศาสตร์เป็นทุกสิ่งที่มนุษย์ได้ทำ ได้คิด ได้หวัง  เพราะทุกสิ่งที่มนุษย์ได้ทำ ได้คิด ได้หวัง ย่อมมีความแตกต่างกันออกไปโดยธรรมชาติของมนุษย์
นักประวัติศาสตร์พยายามอธิบายและแสวงหาความเข้าใจและขอบเขตของปัญหาทางประวัติศาสตร์กล่าวคือ การตีความและอธิบายความประวัติศาสตร์ ควรจะกระทำในลักษณะใดเป็นที่ถกเถียงกันมากว่าควรจะสร้างกฎเกณฑ์แบบวิทยาศาสตร์หรือไม่ บางพวกไม่เห็นด้วยเพราะมีความเห็นว่าประวัติศาสตร์มีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองและไม่เคยซ้ำรอยในลักษณะเดิมจึงไม่อาจตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นได้ การศึกษาประวัติศาสตร์จากเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่สำคัญ เช่น สงคราม ชัยชนะ ความพ่ายแพ้ รูปแบบการปกครอง ฯลฯ เป็นต้น จากบทบาทของมนุษย์ในสังคม ประวัติศาสตร์ควรเป็นเช่นไร นอกจากจะมุ่งเสนอความจริงแล้ว ควรจะเน้นในเรื่องคุณค่าหรือไม่
ปรัชญาประวัติศาสตร์เป็นการแสดงให้เห็นความจริงข้อหนึ่งว่า ประวัติศาสตร์มีขอบข่ายที่กว้างและล้ำลึกเกินกว่าที่จะสรุปได้ง่ายๆ และแสดงให้เห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์ในฐานะที่เป็นทุกสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับทุกสิ่งที่มนุษย์ได้ทำ ได้คิด ได้หวัง หรือความรู้สึก

บรรณานุกรม

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ,สุชาติ สวัสดิ์ศรี.ปรัชญาประวัติศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช, 2527
จันทร์ฉาย ภัคอคม. ประวัติศาสตร์นิพนธ์.กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2545
Marx, Karl. The Communist Manifesto. New York : Russell Inc., 1963

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์และการแสวงหาความจริง

      ประวัติศาสตร์และการแสวงหาความจริง
"History of philosophy Searching for Truth"

       คำว่า "ประวัติศาสตร์" (History) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกกล่าวคือ "Histor" แปลว่า การรับรู้ ถ้าเติม "I" เข้าไปจะเป็น "Histori" แปลว่า การสอบสวน การตรวจตรา การค้นคว้าและการไต่ถาม มีคำที่ใกล้เคียงคือ "Historio" คำนี้แปลว่า การสอบถาม สืบถาม สืบสวน การไต่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 1)

1. ความหมายของประวัติศาสตร์
           ประวัติศาสตร์มีหลายความหมายกล่าวคือ ประวัติศาสตร์คือการบันทึกเหตุการณ์ เครื่องนำไปสู่อดีต การศึกษากิจกรรมทุกอย่างที่มนุษย์ทในนอดีตทำมาเพื่อศึกษาว่ามนุษย์คิดอะไร (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 1) 
             ประวัติศาสตร์คือการเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ ศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตที่เกี่ยวกับมนุษย์ ทำไมต้องมีประวัติศาสตร์? กล่าวคือ โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวของตนเอง เรื่องราวของผู้อื่น สิ่งแวดล้อม เรื่องของโลก ฯลฯ เป็นต้น จึงมีการไต่สวน สอบถาม สืบสวนข้อเท็จจริง การอยากรู้อยากเห็นส่งผลให้มีการเรียนรู้อดีต การศึกษาประวัติศาสตร์ส่งเสริมให้มนุษย์รู้จักตนเอง โลกของตนและสังคมของตนดีขึ้น การศึกษาประวัติศาสตร์จำะทำให้มนุษย์เข้าใจปัจจุบันดีขึ้น (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 2-3) การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้สามารถวิเคราะห์ความบกพร่งของอดีตให้เป็นบทเรียนแก่ปัจจุบันและอนาคตได้

2. ปรัชญาแห่งประวัติศาสตร์
          ความคิดของนักปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ นักปรัชญาส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปในทางการอธิบายถึงลักษณะและความสำคัญขอประวัติศาสตร์ และการวิเคราะห์การตั้งข้อสมมติฐาน นักปรัชญาแต่ละท่านมีแนวความคิดที่แตกต่างกันออกไปทั้งในด้านหลักการและรายละเอียด กล่าวได้ว่าแนวความคิดที่มีลักษณะเป็นนามธรรม (abstract) นักปรัชญาประวัติศาสตร์แบ่งออกได้ 2 แขนงใหญ่ๆ กล่าวคือ (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, สุชาติ สวัสดิ์ศรี, 2527: 77) 


          1. ปรัชญาประวัติศาสตร์ทฤษฎี (Speculative Philosophy of History)

     นักปรัชญาแขนงนี้มุ่งเน้นที่จะศึกษาและสร้างทฤษฎีประวัติศาสตร์ กล่าวได่้ว่า มุ่งศึกษาความหมายหรือความสำคัญของเหตุการณ์ หรือลักษณะทั้่วๆ ไปของกระบวนการทางประวัติศาสตร์ (historical process) นักปรัชญาแขนงนี้เริ่มต้นด้วยนักบุญออกัสติน (St. Augustine : ค.ศ. 354-430) ท่านได้กล่าวว่า พระเป็นเจ้าเป็นผู้กำหนดประวัติศาสตร์ให้แก่มนุษยชาติ (Divine Providence) พระเจ้าได้วางแผนการอย่างเดียวกับชนทุกชาติ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์มีลักษณะเป็นสากล (universal) ที่รู้จักกันดีว่า "universal history" แนวความคิด หลักการของนักบุญออกัสตินมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ขัดแย้งกับแนวคิดของท่านกล่าวคือ Positivism, Historicism, German Idealism เป็นต้น โดยเสนอแนวคิดที่ว่า ประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยความสามารถของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียนรู้ได้


          2.ปรัชญาประวัติศาสตร์วิเคราะห์ (Analytical Philosophy of History)

     นักปรัชญาแขนงนี้มุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์การเขียนประวัติศาสตร์ในด้านเหตุผล นิบูห์ (Niebuhr) และรังเก (Ranke) เป็นผู้ที่วางรากฐานปรัชญาแขนงนี้ ท่านได้นำตรรกวิทยาและวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับประวัติศาสตร์ กล่าวได้ว่า นักปรัชญาแขนงนี้พยายามอธิบายและแสวงหาความเข้าใจและขอบเขตของปัญหาทางประวัติศาสตร์ 3 ประการ
       2.1 การตีความและอธิบายความประวัติศาสตร์ ควรสร้างกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์หรือไม่? ประวัติศาสตร์มีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองและไม่ซ้ำรอยในลักษณะเดิม
           2.2 การศึกษาประวัติศาสตร์จากเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่สำคัญ เช่น สงคราม ชัยชนะ ความพ่ายแพ้ รูปแบบการปกครอง ฯลฯ จากบทบาทของมนุษย์ในสังคม
          2.3 ประวัติศาสตร์ควรเป็นอย่างไร นอกจากจะมุ่งเสนอความจริงแล้ว ควรเน้นในเรื่องคุณค่าหรือไม่

3. สรุป
     ปรัชญาประวัติศาสตร์ทั้งสองแขนงมีความคิดเห็นที่ต่างกันมีหลักการที่ต่างกัน ประวัติศาสตร์มีขอบข่ายที่กว้างและล้ำลึกเกินกว่าที่จะหาข้อสรุปเพียงประการเดียว ประวัติศาสตร์เป็นทุกสิ่งที่มนุษย์ได้ทำ ได้คิด ได้หวัง  เพราะทุกสิ่งที่มนุษย์ได้ทำ ได้คิด ได้หวัง ย่อมมีความแตกต่างกันออกไปโดยธรรมชาติของมนุษย์

บรรณานุกรม
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ,สุชาติ สวัสดิ์ศรี.ปรัชญาประวัติศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช, 2527

จันทร์ฉาย ภัคอธิคม. ประวัติศาสตร์นิพนธ์.กรุงเทพมหานครมหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2545