วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

History of philosophy : Searching for Truth


ประวัติศาสตร์และการแสวงหาความจริง
"History of philosophy : Searching for Truth"



คำว่า "ประวัติศาสตร์" (History) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกกล่าวคือ "Histor" แปลว่า การรับรู้ ถ้าเติม "I" เข้าไปจะเป็น "Histori" แปลว่า การสอบสวน การตรวจตรา การค้นคว้าและการไต่ถาม มีคำที่ใกล้เคียงคือ "Historio" คำนี้แปลว่า การสอบถาม สืบถาม สืบสวน การไต่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 1)

ความหมายของประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์มีหลายความหมายกล่าวคือ ประวัติศาสตร์คือการบันทึกเหตุการณ์ เครื่องนำไปสู่อดีต การศึกษากิจกรรมทุกอย่างที่มนุษย์ในอดีตทำมาเพื่อศึกษาว่ามนุษย์คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ประวัติศาสตร์คือบันทึกเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ประวัติศาสตร์คือการสืบค้นหาสาเหตุ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 1) อาจกล่าวได้ว่าประวัติศาสตร์มีหลายความหมาย โดยหาข้อยุติไม่ได้
1.1  ประวัติศาสตร์คืออะไร
ประวัติศาสตร์คือการเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ ศึกษาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยตรง การศึกษาประวัติศาสตร์มักจะเข้าใจว่าเป็นการศึกษาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต กล่าวได้ว่า ประวัติศาสตร์คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกและเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 3)
อดีตมีความสำคัญอย่างไรถึงต้องเรียนรู้ กล่าวคือ มนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวของตนเองและเรื่องราวของผู้อื่น สิ่งแวดล้อม เรื่องราวของโลก ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้นจึงมีการไต่สวน การสอบถาม สืบสวนข้อเท็จจริง และจุดนี้เป็นการเริ่มต้นเรียนรู้อดีตที่มาจากความอยากรู้อยากเห็นเป็นเบื้องต้น การศึกษาประวัติศาสตร์ส่งเสริมให้มนุษย์รู้จักตนเอง โลกของตนและสังคมของตนมากยิ่งขึ้น การศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เข้าใจปัจจุบันดี ทำให้สามารถวิเคราะห์ความบกพร่องในอดีตให้เป็นบทเรียนแก่ปัจจุบันและสืบต่อไปในอนาคต
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์จะทำให้มนุษย์รู้จักโลก สังคมและตนเอง เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง ภาคภูมิใจในการเป็นคนในสังคมและรัฐ เกิดความรักและความผูกพันในครอบครัววงศ์ตระกูล สังคมประเทศชาติ มีความปรารถนาที่จะทำดีเพื่อให้มีชื่อติดอยู่ในประวัติศาสตร์ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 5)
            1.2  การศึกษาและวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์
            การเรียนรู้ประวัติศาสตร์เริ่มต้นด้วยการสืบหา สอบถาม เพื่อสืบค้นหาข้อเท็จจริงก่อนที่จะเขียนบันทึก การเรียนรู้อดีตนานนานทำให้ไม่สามารถหาหลักฐานข้อเท็จจริงได้ จำเป็นต้องสร้างจินตนาการขึ้นมา เช่น เหตุการณ์น่าจะเป็นอะไร? เกิดอย่างไร? เหตุใดจึงเกิด? ผลเป็นอย่างไร? เป็นต้น เป็นการสร้างอดีตขึ้นมาใหม่ (Reconstruct the past) ตามที่จินตนาการน่าจะเป็นอะไร (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 6)
            การเขียนประวัติศาสตร์จำเป็นต้องมีการสืบค้นหาข้อเท็จจริงและคิดคาดคะเน (Speculate) ขึ้นกล่าวคือ เหตุการณ์จริงๆ นั้นเป็นอย่างไร เป็นการคิดคาดคะเนสร้างจินตนาการขึ้นจากข้อเท็จจริงที่มีอยู่ถือว่าเป็นการสร้างอดีตขึ้นมาใหม่ การศึกษาวัติศาสตร์เป็นการศึกษารายละเอียดทุกแง่มุมจนถึงความคิดความรู้สึกของผู้ก่อเหตุการณ์นั้นๆ ขึ้น การศึกษาประวัติศาสตร์จึงเป็นการศึกษาเหตุการณ์ ตัวบุคคล ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมของมนุษย์ผู้สร้างเหตุการณ์ขึ้น รวมถึงสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ประเพณีของบุคคลนั้นๆ เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาด้วยเช่นกันเพื่อที่จะเข้าใจอดีตอย่างแท้จริง ผู้เขียนประวัติศาสตร์มีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นผู้ถ่ายทอดเป็นลักษณ์อักษร เพื่อให้คนรุ่นต่อๆ มาได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของตน
            วิธีการศึกษาทางประวัติศาสตร์ต้องเริ่มด้วยการสืบค้นหาหลักฐาน หลักฐานประวัติศาสตร์มี 2 ประการ กล่าวคือ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 8)
            1 ซากวัสดุ กล่าวคือ วัตถุที่เหลือแต่ซากตกค้างมาให้เห็นจับต้องได้ เช่น วัตถุโบราณที่อยู่ใต้ดิน ฯลฯ เป็นต้น ถือเป็นซากวัสดุ เป็นหลักฐานชั้นต้น (Primary source) หลักฐานชั้นต้นที่ไม่เปลี่ยนแปลงจับต้องได้เห็นอยู่กับตา
            2 ลายลักษณ์อักษร เป็นบันทึกจดไว้มี 2 ลักษณะ กล่าวคือ
2.1 หลักฐานชั้นต้น ได้แก่ บันทึกของผู้สร้างเหตุการณ์และผู้เห็น เป็นการบันทึกลงวัตถุประเภทต่างๆ เช่น บันทึกลงบนหิน โลหะ ไม้ เป็นต้น ทุกอย่างที่ปรากฏเป็นตัวอักษรถือเป็นหลักฐานชั้นต้น
2.2 หลักฐานชั้นสอง ได้แก่ เอกสารจดบันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์โดยรับข้อมูลข้อเท็จจริงจากหลักฐานชั้นต้น เช่น แต่งเรื่องเหตุการณ์ใดๆ โดยใช้หลักฐานชั้นต้น
           
2. ปรัชญาแห่งประวัติศาสตร์
            ประวัติศาสตร์ถูกนำมาใช้ในความหมายที่แตกต่างกัน 2 ประการ กล่าวคือ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 89)
1 อดีตของมนุษย์ (Human past) ประกอบด้วย บรรดาเหตุการณ์และการกระทำ
            2 เรื่องราว (Accounts) เกี่ยวกับอดีตและวิธีการหรือรูปแบบตามสมัยนิยม ของการสืบสวนให้ได้มาซึ่งเรื่องราวหรือใช้วิธีการสืบสวนเพื่อนสร้างเรื่องราวขึ้นมาเป็นประวัติศาสตร์         
ความคิดของนักปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ นักปรัชญาส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปในทางการอธิบายถึงลักษณะและความสำคัญขอประวัติศาสตร์ และการวิเคราะห์การตั้งข้อสมมติฐาน นักปรัชญาแต่ละท่านมีแนวความคิดที่แตกต่างกันออกไปทั้งในด้านหลักการและรายละเอียด กล่าวได้ว่าแนวความคิดที่มีลักษณะเป็นนามธรรม (abstract) นักปรัชญาประวัติศาสตร์แบ่งออกได้ 2 แขนงใหญ่ๆ กล่าวคือ (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, สุชาติ สวัสดิ์ศรี, 2527: 77)
1  ปรัชญาประวัติศาสตร์ทฤษฎี (Speculative Philosophy of History)
นักปรัชญาแขนงนี้มุ่งเน้นที่จะศึกษาและสร้างทฤษฎีประวัติศาสตร์ กล่าวได้ว่า มุ่งศึกษาความหมายหรือความสำคัญของเหตุการณ์ หรือลักษณะทั่วๆ ไปของกระบวนการทางประวัติศาสตร์ (historical process) นักปรัชญาแขนงนี้เริ่มต้นด้วยนักบุญออกัสติน (St. Augustine : ค.ศ. 354-430) ท่านได้กล่าวว่า พระเป็นเจ้าเป็นผู้กำหนดประวัติศาสตร์ให้แก่มนุษยชาติ (Divine Providence) พระเจ้าได้วางแผนการอย่างเดียวกับชนทุกชาติ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์มีลักษณะเป็นสากล (universal) ที่รู้จักกันดีว่า "universal history" แนวความคิด หลักการของนักบุญออกัสตินมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ขัดแย้งกับแนวคิดของท่านกล่าวคือ Positivism, Historicism, German Idealism เป็นต้น โดยเสนอแนวคิดที่ว่า ประวัติศาสตร์เป็นการศึกษาสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยความสามารถของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียนรู้ได้
ปรัชญาประวัติศาสตร์วิเคราะห์ (Analytical Philosophy of History)
นักปรัชญาแขนงนี้มุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์การเขียนประวัติศาสตร์ในด้านเหตุผล นิบูห์ (Niebuhr) และรังเก (Ranke) เป็นผู้ที่วางรากฐานปรัชญาแขนงนี้ ท่านได้นำตรรกวิทยาและวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับประวัติศาสตร์ กล่าวได้ว่า นักปรัชญาแขนงนี้พยายามอธิบายและแสวงหาความเข้าใจและขอบเขตของปัญหาทางประวัติศาสตร์ 3 ประการ
2.1 การตีความและอธิบายความประวัติศาสตร์ ควรสร้างกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์หรือไม่? ประวัติศาสตร์มีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองและไม่ซ้ำรอยในลักษณะเดิม
2.2  การศึกษาประวัติศาสตร์จากเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่สำคัญ เช่น สงคราม ชัยชนะ ความพ่ายแพ้ รูปแบบการปกครอง ฯลฯ จากบทบาทของมนุษย์ในสังคม
2.3  ประวัติศาสตร์ควรเป็นอย่างไร นอกจากจะมุ่งเสนอความจริงแล้ว ควรเน้นในเรื่องคุณค่าหรือไม่

3. แนวคิดของนักปรัชญา
            3.1 ลัทธิมาร์กซิสต์ (Marxism)
            ลัทธิมาร์กซิสต์ถือว่า ประวัติศาสตร์ของสังคมมนุษย์เป็นการต่อสู้ เนื่องจากประวัติศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลงไปโดยมีพลังการผลิตซึ่งเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดเรียกทัศนะนี้ว่านิยัตินิยมทางเศรษฐกิจ (economic determinism) เนื่องจากพลังการผลิตเป็นพลังทางวัตถุนั้นเป็นตัวผลักดันพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ (historical materialism) (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 177)
            ทฤษฎีประวัติศาสตร์ในทัศนะของคาร์ล มาร์กซ์ เน้นไปที่ พลังเศรษฐกิจที่มีส่วนสำคัญต่อความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งทั้งหลาย โดยชี้ขาดวิวัฒนาการแห่งประวัติศาสตร์เพราะสิ่งแรกสุดในการดำรงคงอยู่ของมวลมนุษย์และสิ่งแรกสุดในการสร้างประวัติศาสตร์ทั้งหลาย กล่าวคือ มนุษย์จะต้องอยู่ในฐานะที่จะดำรงชีพได้ก่อน จะสามารถสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นได้ ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจย่อมนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างเบื้องบนที่ใหญ่กว่านั้น (Suprastructure) ได้แก่ ระบบสังคม เศรษฐกิจและระบบอุดมการณ์ ประวัติศาสตร์มีกฎเกณฑ์และมีคุณลักษณะที่แน่นอนจนทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้และมองเห็นอนาคตได้ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 182)
            มาร์กซ์ถือว่า มนุษย์คือผู้สร้างประวัติศาสตร์ของตนขึ้น โดยไม่ได้เน้นที่ว่า มนุษย์ได้สร้างประวัติศาสตร์ของตนขึ้นตามความพอใจส่วนตัว หากแต่สร้างประวัติศาสตร์ของตนขึ้นภายใต้ภาวะแวดล้อมของตน (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 182) กล่าวโดยสรุปแล้ว มาร์กซ์เน้นลัทธิวัตถุนิยมและถือว่าจิตสำนึกมีบทบาทเป็นรองในกระบวนการของประวัติศาสตร์
           ปัจจัยเศรษฐกิจมีบทบาทสำคัญขั้นชี้ขาดวิวัฒนาการแห่งประวัติศาสตร์ มาร์กซ์ได้กล่าวเสริมว่า ประวัติศาสตร์ของสังคมมวลมนุษย์ทั้งในอดีตและปัจจุบันคือประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ระหว่างชนชั้น (Karl Marx, 1963: 25) ความเคลื่อนไหวทางสังคมคือกระบวนการแห่งประวัติศาสตร์โดยธรรมชาติ
            ทฤษฎีประวัติศาสตร์ในทัศนะของมาร์กซ์กล่าวได้ว่า ประวัติศาสตร์มีกฎเกณฑ์แน่นอน พลังเศรษฐกิจชี้ขาดประวัติศาสตร์มากกว่าจะเป็นอุดมการณ์หรือจิตใต้มโนธรรมหรือจิตสำนึกใดๆ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่สามารถจะศึกษาอธิบายได้และสามารถหลีกเลี่ยงมิให้เกิดซ้ำได้ โดยวางแผนการดีเพื่ออนาคตกล่าวคือ มนุษย์สามารุหลีกเลี่ยงมิให้เหตุการณ์ใดๆ อุบัติขึ้นได้ (จันทร์ฉาย ภัคอธิคม, 2545: 184) ประวัติศาสตร์มีจุดมุ่งหมายในตัวของมันเอง วิธีไปสู่จุดมุ่งหมายนั้นคือ การปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพจุดมุ่งหมายนั้นคือ การบรรลุถึงลัทธิคอมมิวนิสม์ แต่เนื่องจากประวัติศาสตร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอดีตไม่ได้เกี่ยวกับอนาคต ประวัติศาสตร์ไม่มีจุดมุ่งหมายแน่นอนของมันเองเพราะมนุษย์ไม่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้
          มาร์กซ์ได้อธิบายเหตุและผลของประวัติศาสตร์ในเชิงเศรษฐกิจเป็นการกำหนดคำจำกัดความแก่ประวัติศาสตร์ “ประวัติศาสตร์ของสังคมที่ปรากฏคือประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ระหว่างชนชั้น” (Karl Marx, 1963: 22) ตามที่ปรากฏประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นเรื่องของการต่อสู้ระหว่างชนชั้นอย่างเดียว การต่อสู้อาจมีระหว่างบุคคลกล่าวคือ ระหว่างบุคคลกับบุคคล บุคคลกับธรรมชาติ บุคคลกับสังคม เป็นต้น หรือเป็นการต่อสู้ระหว่างประเทศกล่าวคือ สงครามโลก สงครามไครเมีย เป็นต้น ประวัติศาสตร์จึงควรจะเป็นประวัติศาสตร์ว่าด้วยพฤติกรรมของมนุษย์ อารยธรรม เป็นประวัติศาสตร์ว่าด้วยสรรพสิ่งที่เกี่ยวกับพฤติกรรมและมโนธรรมของมนุษย์ ดังนั้นประวัติศาสตร์จึงไม่ได้เป็นประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ระหว่างชนชั้นเพียงประการเดียว

4. สรุป
ปรัชญาประวัติศาสตร์ทั้งสองแขนงมีความคิดเห็นที่ต่างกันมีหลักการที่ต่างกัน ประวัติศาสตร์มีขอบข่ายที่กว้างและล้ำลึกเกินกว่าที่จะหาข้อสรุปเพียงประการเดียว ประวัติศาสตร์เป็นทุกสิ่งที่มนุษย์ได้ทำ ได้คิด ได้หวัง  เพราะทุกสิ่งที่มนุษย์ได้ทำ ได้คิด ได้หวัง ย่อมมีความแตกต่างกันออกไปโดยธรรมชาติของมนุษย์
นักประวัติศาสตร์พยายามอธิบายและแสวงหาความเข้าใจและขอบเขตของปัญหาทางประวัติศาสตร์กล่าวคือ การตีความและอธิบายความประวัติศาสตร์ ควรจะกระทำในลักษณะใดเป็นที่ถกเถียงกันมากว่าควรจะสร้างกฎเกณฑ์แบบวิทยาศาสตร์หรือไม่ บางพวกไม่เห็นด้วยเพราะมีความเห็นว่าประวัติศาสตร์มีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองและไม่เคยซ้ำรอยในลักษณะเดิมจึงไม่อาจตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นได้ การศึกษาประวัติศาสตร์จากเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่สำคัญ เช่น สงคราม ชัยชนะ ความพ่ายแพ้ รูปแบบการปกครอง ฯลฯ เป็นต้น จากบทบาทของมนุษย์ในสังคม ประวัติศาสตร์ควรเป็นเช่นไร นอกจากจะมุ่งเสนอความจริงแล้ว ควรจะเน้นในเรื่องคุณค่าหรือไม่
ปรัชญาประวัติศาสตร์เป็นการแสดงให้เห็นความจริงข้อหนึ่งว่า ประวัติศาสตร์มีขอบข่ายที่กว้างและล้ำลึกเกินกว่าที่จะสรุปได้ง่ายๆ และแสดงให้เห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์ในฐานะที่เป็นทุกสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับทุกสิ่งที่มนุษย์ได้ทำ ได้คิด ได้หวัง หรือความรู้สึก

บรรณานุกรม

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ,สุชาติ สวัสดิ์ศรี.ปรัชญาประวัติศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช, 2527
จันทร์ฉาย ภัคอคม. ประวัติศาสตร์นิพนธ์.กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2545
Marx, Karl. The Communist Manifesto. New York : Russell Inc., 1963

3 ความคิดเห็น:

  1. ประวัติศาสตร์ทำให้เราได้จดจำเรื่องราวที่เข้ามาในชีวิตของเราครับ

    ตอบลบ
  2. ประวัติศาสตร์จะดีจะเลว จะน่าจดจำหรือไม่น่าจดจำ มันก็คือประวัติศาสตร์ เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่สิ่งที่เราทำได้คือ การเรียนรู้จากสิ่งต่างๆเหล่านั้นเพื่อเป็นความรู้ คติเตือนใจ และนำพาเราให้ดำเนินชีวิตแต่ละวันอย่างดีที่สุด (ยิ่งเขียนยิ่งไม่ค่อยตรงประเด็น 5555)

    ตอบลบ
  3. เนื้อหาเยอะเกินไป อ่านแล้วง่วง 55 (ล้อเล่นๆนะ)

    ตอบลบ