ญาณวิทยาตามแนวความคิดของ Bertrand Arthur William Russell
ความรู้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
หรือว่าความรู้เกิดจาก..........?
หรือว่าสิ่งนี้เป็นบ่อเกิดของความรู้?
ญาณวิทยา (Epistemology) เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยรูปแบบของความรู้ พัฒนาการ
และขอบเขตของความรู้
ญาณวิทยาตามศัพท์หมายความว่า ศาสตร์แห่งความรู้
Science of
knowledge เป็นคำที่ประกอบขึ้นด้วย คำ 2 คำ คือ Episteme ซึ่งหมายความว่า ความรู้กับคำว่า Logos ซึ่งมีความหมายว่าศาสตร์หรือทฤษฎี ญาณวิทยาศึกษาเรื่องกำเนินความรู้ เนื้อหาของญาณวิทยาก็คือ การศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการ วิธีการ
วัตถุประสงค์ ลักษณะ เงื่อนไข ความมีเหตุผล
และความคลาดเคลื่อนของความรู้
โดยเอาวิธีการของปรัชญาคือ
วิธีนิรมัย วิธีอุปนัย วิธีวิเคราะห์
และวิธีสังเคราะห์
มาใช้ในการอภิปราย ปัญหาต่าง ๆ
ดังกล่าวแล้วนั่นเอง
และมีทัศนะแบบปรัชญา (ชัยวัตน์
อัตพัฒน์, 2547 : 3-14)
1.1 เหตุผลนิยม (Rationalism) กล่าวว่า
เหตุผลเป็นแหล่งเกิดความรู้ แต่ต้องเป็นเหตุผลที่เกิดจากสหชาตปัญญา (บุญมี
แท่นแก้ว, 2543: 3) เป็นความคิดติดตัวมาตั้งแต่กำเกิด (innate
idea) ซึ่งบางที่เรียกว่า สหชาตปัญญาบ้าง สหัชฌญารบ้าง
ตามหลักพุทธธรรม เดส์คาร์ตส์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส
มีความเชื่อมั่นในจิตนิยมแบบโบราณและในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มีทัศนะว่า
ปรัชญากับวิทยาศาสตร์สามารถประสานกันได้กับศาสนา
เดส์คาร์ตส์สร้างทฤษฎีความรู้โดยอาศัยเหตุผลที่ว่า
“ความรู้เกิดจากการคิดหาเหตุผลและความรู้จะต้องเกิดจากความสงสัยเป็นมูลฐาน
เหตุผลสามารถกำจัดความสงสัยได้ และความจริงย่อมปรากฏในอันดับต่อมา ดังนั้น
ความสงสัยกับความจริงจึงไม่ขัดกัน หรือไม่ใช่สิ่งตรงกันข้าม เพราะว่าความสงสัยเป็นทาง
ส่วนความจริงเป็นจุดหมายปลายทาง หรือความสงสัยเป็นจุดเริ่มต้น
ส่วนความจริงเป็นประตูชัย” (บุญมี แทนแก้ว, 2533: 72-73)
1.2 ประจักษ์นิยม (Empiricism) กล่าวว่า
ความรู้ทุกอย่างจะเป็นจริงได้ต้องอาศัยประสบการณ์ด้วยตนเอง (บุญมี
แท่นแก้ว, 2543: 4) จอห์น ล็อด
นักปรัชญาสมัยใหม่ชาวอังกฤษกล่าวว่า ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสเป็นบ่อเกิดของความรู้
การคิดหาเหตุผลจะเกิดได้จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ก่อน ด้วยเหตุนี้
ประสบการณ์จึงเป็นบ่อเกิดของความรู้ จอห์น ล็อด กล่าวไว้ว่า (บุญมี แท่นแก้ว, 2527: 12)
“จิต (ใจ)
เปรียบเหมือนกระดาษขาวหรือกระดาษชนวนที่ยังว่างเปล่า ไม่มีรอยขีดเขียนมาแต่เดิม
เมื่อจิตได้รับความนึกคิดจากประสบการณ์ จึงใคร่ครวญด้วยเหตุผลเพื่อหาความรู้จริง
ถ้าไม่มีประสบการณ์แล้วจิตจะไม่คิดเลย”
1.3 อนุมานนิยม (Apriorism) กล่าวว่า ความรู้ไม่ได้มีเฉพาะที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
หรือไม่ได้มีเฉพาะอาศัยประสบการณ์ แต่ความรู้เกิดเพราะอาศัยเหตุปัจจัยทั้ง 2 อย่าง กล่าวคือ
“การอนุมานจากหลักทั่วไป (ความรู้เดิม)
และการอุปมานจากประสบการณ์เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อิมมานูเอล ค้านท์
ได้แยกแยะให้เห็นความแตกต่างระหว่างเนื้อหาของความรู้กับรูปแบบของความรู้ว่า
เนื้อหาของความรู้ได้จากประสบการณ์ แต่รูปแบบของความรู้ได้จากการคิดหาเหตุผล” (บุญมี
แท่นแก้ว, 2543: 7)
2. ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ความรู้ที่ได้จากวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่เกิดจากการทดลอง ทดสอบ
วิเคราะห์ วิจัยด้วยเครื่องมือทางเทคโนโลยีต่างๆ มีเหตุผลตามหลักตรรกวิทยา (บุญมี
แท่นแก้ว, 2543: 85-86) โดยทั่วไปแล้ววิธีการรู้ทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ
กล่าวคือ (วิรุฬห์ บุญสมบัติ, 2521:7)
2.1
พิจารณาปัญหาที่สนใจว่ามีอะไรเป็นองค์ประกอบของปัญหา (กำหนดปัญหา)
2.2
สังเกตการณ์ที่เกี่ยวกับปัญหา (ตั้งข้อสมมติฐาน)
2.3
วางข้อสมมติฐานหรือทำการทดลองและเก็บข้อมูล
2.4
พยากรณ์ปรากฏการณ์ต่างๆ (วิเคราะห์)
2.5 รวบรวมข้อมูลสำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของสมมติฐาน (สรุป)
2.6
ถ้าถูกต้องยอมรับสมมติฐานนั้นไว้เพื่อเป็นกฎต่อไป
หากไม่ก็ต้องปรับปรุง (แก้ไขสมมติฐาน)
ลักษณะความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงมีพื้นฐานอยู่บนวิธีการอุปนัยคือการหาความจริงจากประสบการณ์เพื่อพิสูจน์บทสรุป
สามารถสรุปลักษณะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ดังนี้ เป็นความรู้ที่ได้จากประสาทสัมผัส
อันเป็นวิธีการทางอุปนัยในทางตรรกวิทยา เป็นความรู้ที่ไม่ตายตัว ไม่แน่นอน
เพราะอาจถูกต้องในสมัยหนึ่ง แต่อาจไม่ถูกต้องอีกสมัยหนึ่ง
เป็นความรู้ที่ให้พลังในการทำนายอนาคต (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 87) ข้อมูลทางประสาทสัมผัส (Sense-Data) เป็นความรู้ที่ประสาทรู้ได้โดยตรง เช่น
กลิ่น เสียง ความแกร่ง ความหยาบ เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้สามารถรู้ได้จากวัตถุใดวัตถุหนึ่ง
จึงสามารถรับรู้ความรู้จริงถูกต้อง
3. ทฤษฎีความรู้หรือญาณวิทยา
ในเรื่องทฤษฎีความรู้หรือญาณวิทยา รัสเซลล์กล่าวว่า “ความรู้ของมนุษย์ไม่สามารถจะรู้ถึงความเป็นจริงทั้งหมดได้
โดยเฉพาะในเรื่องธรรมชาติของสิ่งสร้างทั้งหลาย
นอกเสียจากว่าเราจะรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งในเอกภพนี้ได้ก่อน
แล้วเราจึงสามารถรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่นๆ
ในเอกภพต่อไปอีกได้” (Frank Thilly, 1956: 604) รัสเซลล์ได้กำหนดหลักวิเคราะห์ความรู้ที่เราพึงรับได้ใน 3 กรณี กล่าวคือ
1)
อาศัยพิชานหรือกิริยาที่ก่อให้เกิดความรู้ทางจิต
2) อาศัยข้อมูลทางประสาทสัมผัสหรือวัตถุที่เราสัมผัสทางประสาทที่ทำให้เราทราบสิ่งนั้นจริงๆ
ได้
3)
อาศัยวัตถุที่สัมผัส ที่เรารู้โดยอาศัยข้อมูลทางประสาทสัมผัสที่แน่วแน่
รัสเซลล์แบ่งความรู้ออกเป็น 2 ชนิด กล่าวคือ (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 99)
1) ความรู้โดยประจักษ์ (Knowledge
by Acquaintance) ความรู้ที่เกิดจากสิ่งที่รู้ซึ่งปรากฏแก่ผู้รู้โดยตรง
โดยผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางใดทางหนึ่ง
ความรู้ประเภทนี้คนเราจะต้องสัมผัสกับวัตถุที่ตนอยากรู้
ซึ่งจำเป็นที่คนเราจะต้องรู้ความสัมพันธ์ของวัตถุนั้นกับสิ่งอื่น ความรู้โดยประจักษ์นี้จัดเป็นความรู้โดยตรงหรือความรู้ตัววัตถุ
(Object)
2)
ความรู้โดยการบรรยายหรือการบอกเล่า (Knowledge by Description) เป็นความรู้โดยอาศัยผู้อื่นบรรยายหรือผู้อื่นบอกเล่าอีกต่อหนึ่ง
จะการอ่านตำราหนังสือเพื่อให้เกิดความรู้ก็เป็นความรู้โดยการบรรยายหรือการบอกเล่าเช่นกัน
ความรู้ประเภทนี้ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราจะรู้โดยตรงแต่เป็นการบรรยาย
การบอกเล่าหรือหนังสือตำราจะปรากฏแก่ผู้อยากรู้อีกต่อหนึ่ง
ความรู้ประเภทนี้จัดเป็นความรู้โดยอ้อม เพราะต้องอาศัยสื่อกลางกล่าวคือ ผู้สอน
ผู้บรรยาย ผู้ชี้แนะ หรือตำราอีกต่อหนึ่ง เราจึงจะเกิดความรู้ได้
ในทัศนะของรัสเซลล์ โลกที่เราอาศัยอยู่นี้
เราไม่สามารถจะรู้ได้แจ่มแจ้งถึงความจริงของมัน และไม่สามารถสืบรู้ไปถึงลักษณะบางส่วนของโลกที่ห่างไกลจากประสบการณ์ของเราได้
ตามความเป็นจริงแล้วมนุษย์เราไม่อยู่ในวิสัยที่จะตัดสิ้นชี้ขาดหรือตัดสินตกลงใจได้เอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิ่งที่สัมผัสหรือประจักษ์ด้วยตนเองไม่ได้ เช่น พระเจ้า วิญญาณ
นรก สวรรค์ เป็นต้น ดังนั้น
การที่จะนำเอาความรู้ของมนุษย์มาตัดสิ้นชี้ขาดว่าสิ่งใดจริง สิ่งใดไม่จริงนั้น
ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ธรรมดา
เนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่มีมนุษย์คนใดมีความรู้ขั้นอันติมะ (Ultimate) ซึ่งไม่สามารถจะตัดสินชี้ขาดลงไปได้ว่า
อะไรจริง อะไรเท็จ ได้อย่างเด็ดขาดถูกต้องและก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดอีกด้วย (บุญมี
แท่นแก้ว, 2543: 100)
4.
ความรู้ของมนุษย์
การที่มนุษย์จะเชื่ออะไรนั้น ต้องอาศัยสามัญสำนึก
ซึ่งรัสเซลล์เรียกว่า “ความเชื่อโดยสัญชาตญาณ” (Instinctive Belief) (Bertrand Russell, 1958: 37) รัสเซลล์กล่าวว่า
มนุษย์ไม่สามารถชี้ขาดหรือตัดสินลงไปว่าความเป็นจริง (Reality) คืออะไร แต่สิ่งที่ควรสนใจให้มากคือวิธีการที่เราจะรู้
หรือเราสามารถมีความรู้ได้โดยวิธีใดบ้าง
มนุษย์จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลทางประสาทสัมผัส (Sense-Data) หมายถึง แหล่งที่สามารถให้เกิดความรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensation) เช่น สี เสียง กลิ่น รส รูป ความหมาย ของวัตถุ เช่น โต๊ะ เป็นต้น
เราสามารถเกิดการรับรู้ได้ทางประสาทสัมผัสได้เมื่อเราประสบกับโต๊ะนั้น ดังนั้น
เมื่อเราเห็นสีของโต๊ะ เราจะรู้ทางประสาทสัมผัสในเรื่องนั้นทันที
แต่ตัวสีของโต๊ะนั้นเป็นข้อมูลทางประสาทสัมผัส ไม่ใช่เป็นการรับรู้ทางประสาทสัมผัส
การรับรู้ทางประสาทสัมผัส เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส
การสัมผัสถูกต้องกับข้อมูลทางประสาทสัมผัสโดยตรง
เพราะเรามีสามัญสำนึกหรือความเชื่อโดยสัญชาตญาณอยู่แล้ว
จึงมีการคาดคะเนไปถึงสิ่งสิ่งนั้น
รัสเซลล์กล่าวว่า มนุษย์ไม่สามารถตัดสินว่า อะไรเป็นความจริงกันแน่
และความจริงชนิดนี้ รัสเซลล์กล่าวว่า จะต้องอาศัยสามัญสำนึกที่เรียกว่า
“ความเชื่อโดยสัญชาตญาณ” (Instinctive Belief)
จึงจะสามารถรู้สิ่งนั้นได้ เพราะสิ่งที่เราต้องรู้ในทัศนะของรัสเซลล์มีอยู่ 2
อย่าง กล่าวคือ (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 101-104)
1)
การรู้สิ่งของหรือวัตถุที่เราต้องการจะรู้ (Object)
เป็นการรู้สิ่งที่ปรากฏขึ้นโดยธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 2 อย่าง
1.1)
การรู้โดยตรง เป็นการรู้โดยไม่ต้องอาศัยสื่อกลางหรือไม่ต้องมีอุปกรณ์สื่อกลางเป็นการรู้โดยตรง
(by acquaintance) ในรูปแบบนี้ยังสามารถแบ่งออกได้อีก 2
ระดับ กล่าวคือ
1)
การประจักษ์และประสบด้วยตนเอง โดยอาศัยความทรงจำ (acquaintance by memory) เป็นความรู้โดยตรงเกิดจากความทรงจำ
เป็นบ่อเกิดของความรู้ เช่น เรื่องเหตุการณ์ในอดีตที่เราเคยประสบมาและสามารถจำได้
ถ้าไม่มีความรู้ระดับนี้ก็ไม่สามารถอนุมานไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตได้
2)
การประจักษ์และประสบด้วยตนเอง โดยการพินิจภายใน (acquaintance
by introspection) เป็นการรู้โดยตรงที่เกิดจากการพินิจคิดใคร่ครวญภายในหรือตระหนักด้วยตัวของเราเอง
เช่น เมื่อเราเห็นดวงจันทร์ เราพินิจใคร่ครวญ
ตรึกตรองดูว่าเรากำลังมองเห็นดวงจันทร์ การเห็นดวงจันทร์เช่นนั้น
จึงเป็นสิ่งที่เราประจักษ์หรือประสบมาด้วยตนเอง
1.2) การรู้โดยทางอ้อม
เป็นการรู้โดยอาศัยสื่อกลาง โดยมีการบอกเล่า การบรรยาย การพรรณนา การชี้แนะ (by
description) การสั่นสอนของผู้อื่น หรือจากคัมภีร์
ตำราก็จัดเข้าในความรู้โดยทางอ้อม การรู้แบบนี้จำเป็นต้องอาศัยหลักเหตุผล
หรือหลักการทั่วๆ ไปเข้ามาประกอบหรืออ้างอิงด้วย
2) การรู้ความเป็นจริง (Reality) เป็นความรู้ความแท้จริงของสิ่งนั้นๆ เป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง แบ่งออกได้ 2
อย่าง กล่าวคือ
2.1) การรู้โดยตรง
เป็นการรู้โดยอาศัยญาณวิเศษ สามัญสำนึกหรืออัชฌัตติกญาณ (by intuition) เป็นความรู้ที่ผุดขึ้นเองในจิตใจมีลักษณะคล้ายปฏิภาณหรือญาณสังหรณ์
2.2) การรู้โดยอ้อม
เป็นการรู้โดยอาศัยการคิดใคร่ครวญวิเคราะห์ วิจัยพิจารณาด้วยเหตุและผล
โดยอาศัยความรู้อย่างอื่นเป็นตัวกลางหรือเป็นสื่อกลางเข้าประกอบโดยอาศัยประสบการณ์บ้าง
อาศัยความรู้เดิมที่ตนอยู่ที่น่าเชื่อถือบ้าง อาศัยคัมภีร์หรือตำราที่ถูกต้องที่น่าเชื่อถือบ้าง
กล่าวคือ ความรู้โดยอ้อมเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นโดยสรุปความรู้อื่น
หรือจากข้อมูลอื่นๆ นอกจากตัวเราเอง
การวิจารณ์ใคร่ครวญข้อความเพื่อให้เกิดความรู้จะเป็นโดยการบอกเล่า
การบรรยาย การพรรณนา การชี้แนะ จนสามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มชัด จะต้องอาศัยสิ่งที่เราประจักษ์หรือประสบการณ์ที่เราเคยประจักษ์
เคยคุ้นเคยมาแล้วทั้งสิ้นและจำเป็นต้องอาศัยการเสริมสร้างศรัทธาทางสัญชาตญาณ (instinctive belief)
เป็นพื้นฐานเบื้องต้นเพื่อเป็นบ่อเกิดของความรู้
5. สรุป
ญาณวิทยา (Epistemology) เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการตรวจสอบบ่อเกิดความรู้
หรือตรวจสอบแหล่งที่มาของความรู้
ศึกษาถึงกำเนิดธรรมชาติ ขอบเขตและความสมบูรณ์แห่งความรู้ ตลอดถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความรู้
พยายามหามาตรฐานว่าอะไรเป็นความรู้จริง และเรารู้ความจริงได้อย่างไร
สำหรับ เบอร์ทรันด์ อาร์เธร์ วิลเลียม รัสเซลล์ (Bertrand A.W. Russell) กล่าวว่า
มนุษย์จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลทางประสาทสัมผัส
เพราะแหล่งหรือบ่อเกิดของความรู้เกิดจากการรับรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensation) เช่น สี เสียง กลิ่น รส รูป ฯลฯ เป็นต้น รัสเซลล์ได้แยกระหว่างความรู้หรือความรู้สึก
(เพทนาการ) เป็นประสบการณ์เพื่อให้เกิดความรู้
กับข้อมูลทางประสาทสัมผัสได้แก่สีที่เรารู้ออก กล่าวคือ
เมื่อเราเห็นสีจะเกิดความรู้หรือความรู้สึก (เพทนาการ) ในเรื่องนั้นทันที
ตัวสีนั้นเองเป็นข้อมูลทางประสาทสัมผัส ไม่ใช่ความรู้หรือความรู้สึก (เพทนาการ)
รัสเซลล์กล่าวว่า ข้อมูลทางประสาทสัมผัสเป็นสิ่งเฉพาะเจาะจงในแต่ละบุคคล ข้อมูลทางประสาทสัมผัสจะมีอยู่ต่อเมื่อมีความรู้สึกเท่านั้น
เช่น สีจะไม่ปรากฏให้เราถ้าเราหลับตาหรือคนตาบอด ดังนั้น สิ่งต่างๆ
เป็นสิ่งที่มนุษย์เราสามารถรับรู้ได้โดยทางประสาทสัมผัสเท่านั้น บ่อเกิดของความรู้มาจากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส
บรรณานุกรม
1) บุญมี แท่นแก้ว.ปรัชญาตะวันตก.กรุงเทพมหานคร
: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2527
2) บุญมี แท่นแก้ว.ปรัชญาเบื้องต้นทั่วไป.กรุงเทพมหานคร :
สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์,
2524
3) บุญมี แท่นแก้ว.ญาณวิทยา ทฤษฎีความรู้. กรุงเทพมหานคร :
สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์,
2542
4) วิรุฬห์
บุญสมบัติ. การศึกษาธรรมชาติวิทยา. กรุงเทพมหานคร,จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2521
5) Bertrand Russell. The
Problems of philosophy.London: George Allen and Unwin Ltd,1958
6) F. Mayer. A History of
Modern Philosophy. New York : American Book Company, 1952
7) Frank thilly. A History of
Philosophy. Allahabad : Central Book Depot, 1956
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น