วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

Epistemology

ญาณวิทยาตามแนวความคิดของ Bertrand Arthur William Russell

ความรู้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

หรือว่าความรู้เกิดจาก..........?


หรือว่าสิ่งนี้เป็นบ่อเกิดของความรู้?

1.  ความหมายของญาณวิทยา
ญาณวิทยา (Epistemology) เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยรูปแบบของความรู้   พัฒนาการ   และขอบเขตของความรู้   ญาณวิทยาตามศัพท์หมายความว่า  ศาสตร์แห่งความรู้ Science  of  knowledge เป็นคำที่ประกอบขึ้นด้วย  คำ 2 คำ คือ Episteme  ซึ่งหมายความว่า  ความรู้กับคำว่า Logos   ซึ่งมีความหมายว่าศาสตร์หรือทฤษฎี  ญาณวิทยาศึกษาเรื่องกำเนินความรู้   เนื้อหาของญาณวิทยาก็คือ  การศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการ  วิธีการ  วัตถุประสงค์  ลักษณะ เงื่อนไข  ความมีเหตุผล  และความคลาดเคลื่อนของความรู้  โดยเอาวิธีการของปรัชญาคือ  วิธีนิรมัย  วิธีอุปนัย  วิธีวิเคราะห์  และวิธีสังเคราะห์  มาใช้ในการอภิปราย  ปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วนั่นเอง   และมีทัศนะแบบปรัชญา  (ชัยวัตน์ อัตพัฒน์, 2547 : 3-14)
1.1 เหตุผลนิยม (Rationalism) กล่าวว่า เหตุผลเป็นแหล่งเกิดความรู้ แต่ต้องเป็นเหตุผลที่เกิดจากสหชาตปัญญา (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 3) เป็นความคิดติดตัวมาตั้งแต่กำเกิด (innate idea) ซึ่งบางที่เรียกว่า สหชาตปัญญาบ้าง สหัชฌญารบ้าง ตามหลักพุทธธรรม เดส์คาร์ตส์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส มีความเชื่อมั่นในจิตนิยมแบบโบราณและในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มีทัศนะว่า ปรัชญากับวิทยาศาสตร์สามารถประสานกันได้กับศาสนา เดส์คาร์ตส์สร้างทฤษฎีความรู้โดยอาศัยเหตุผลที่ว่า
ความรู้เกิดจากการคิดหาเหตุผลและความรู้จะต้องเกิดจากความสงสัยเป็นมูลฐาน เหตุผลสามารถกำจัดความสงสัยได้ และความจริงย่อมปรากฏในอันดับต่อมา ดังนั้น ความสงสัยกับความจริงจึงไม่ขัดกัน หรือไม่ใช่สิ่งตรงกันข้าม เพราะว่าความสงสัยเป็นทาง ส่วนความจริงเป็นจุดหมายปลายทาง หรือความสงสัยเป็นจุดเริ่มต้น ส่วนความจริงเป็นประตูชัย” (บุญมี แทนแก้ว, 2533: 72-73)
1.2 ประจักษ์นิยม (Empiricism) กล่าวว่า ความรู้ทุกอย่างจะเป็นจริงได้ต้องอาศัยประสบการณ์ด้วยตนเอง (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 4) จอห์น ล็อด นักปรัชญาสมัยใหม่ชาวอังกฤษกล่าวว่า ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสเป็นบ่อเกิดของความรู้ การคิดหาเหตุผลจะเกิดได้จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ก่อน ด้วยเหตุนี้ ประสบการณ์จึงเป็นบ่อเกิดของความรู้ จอห์น ล็อด กล่าวไว้ว่า (บุญมี แท่นแก้ว, 2527: 12)
“จิต (ใจ) เปรียบเหมือนกระดาษขาวหรือกระดาษชนวนที่ยังว่างเปล่า ไม่มีรอยขีดเขียนมาแต่เดิม เมื่อจิตได้รับความนึกคิดจากประสบการณ์ จึงใคร่ครวญด้วยเหตุผลเพื่อหาความรู้จริง ถ้าไม่มีประสบการณ์แล้วจิตจะไม่คิดเลย”
1.3 อนุมานนิยม (Apriorism) กล่าวว่า ความรู้ไม่ได้มีเฉพาะที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือไม่ได้มีเฉพาะอาศัยประสบการณ์ แต่ความรู้เกิดเพราะอาศัยเหตุปัจจัยทั้ง 2 อย่าง กล่าวคือ “การอนุมานจากหลักทั่วไป (ความรู้เดิม) และการอุปมานจากประสบการณ์เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อิมมานูเอล ค้านท์ ได้แยกแยะให้เห็นความแตกต่างระหว่างเนื้อหาของความรู้กับรูปแบบของความรู้ว่า เนื้อหาของความรู้ได้จากประสบการณ์ แต่รูปแบบของความรู้ได้จากการคิดหาเหตุผล” (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 7)

2.  ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ความรู้ที่ได้จากวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่เกิดจากการทดลอง ทดสอบ วิเคราะห์ วิจัยด้วยเครื่องมือทางเทคโนโลยีต่างๆ มีเหตุผลตามหลักตรรกวิทยา (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 85-86) โดยทั่วไปแล้ววิธีการรู้ทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ กล่าวคือ  (วิรุฬห์ บุญสมบัติ, 2521:7)
2.1 พิจารณาปัญหาที่สนใจว่ามีอะไรเป็นองค์ประกอบของปัญหา (กำหนดปัญหา)
2.2 สังเกตการณ์ที่เกี่ยวกับปัญหา (ตั้งข้อสมมติฐาน)
2.3 วางข้อสมมติฐานหรือทำการทดลองและเก็บข้อมูล
2.4 พยากรณ์ปรากฏการณ์ต่างๆ (วิเคราะห์)
2.5 รวบรวมข้อมูลสำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของสมมติฐาน (สรุป)
2.6 ถ้าถูกต้องยอมรับสมมติฐานนั้นไว้เพื่อเป็นกฎต่อไป หากไม่ก็ต้องปรับปรุง (แก้ไขสมมติฐาน)
ลักษณะความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงมีพื้นฐานอยู่บนวิธีการอุปนัยคือการหาความจริงจากประสบการณ์เพื่อพิสูจน์บทสรุป สามารถสรุปลักษณะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้ดังนี้ เป็นความรู้ที่ได้จากประสาทสัมผัส อันเป็นวิธีการทางอุปนัยในทางตรรกวิทยา เป็นความรู้ที่ไม่ตายตัว ไม่แน่นอน เพราะอาจถูกต้องในสมัยหนึ่ง แต่อาจไม่ถูกต้องอีกสมัยหนึ่ง เป็นความรู้ที่ให้พลังในการทำนายอนาคต (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 87) ข้อมูลทางประสาทสัมผัส  (Sense-Data) เป็นความรู้ที่ประสาทรู้ได้โดยตรง เช่น กลิ่น เสียง ความแกร่ง ความหยาบ เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้สามารถรู้ได้จากวัตถุใดวัตถุหนึ่ง จึงสามารถรับรู้ความรู้จริงถูกต้อง
3.  ทฤษฎีความรู้หรือญาณวิทยา
ในเรื่องทฤษฎีความรู้หรือญาณวิทยา รัสเซลล์กล่าวว่า “ความรู้ของมนุษย์ไม่สามารถจะรู้ถึงความเป็นจริงทั้งหมดได้ โดยเฉพาะในเรื่องธรรมชาติของสิ่งสร้างทั้งหลาย นอกเสียจากว่าเราจะรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งในเอกภพนี้ได้ก่อน แล้วเราจึงสามารถรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งหนึ่งกับสิ่งอื่นๆ ในเอกภพต่อไปอีกได้” (Frank Thilly, 1956: 604) รัสเซลล์ได้กำหนดหลักวิเคราะห์ความรู้ที่เราพึงรับได้ใน 3 กรณี กล่าวคือ
1) อาศัยพิชานหรือกิริยาที่ก่อให้เกิดความรู้ทางจิต
2) อาศัยข้อมูลทางประสาทสัมผัสหรือวัตถุที่เราสัมผัสทางประสาทที่ทำให้เราทราบสิ่งนั้นจริงๆ ได้
3) อาศัยวัตถุที่สัมผัส ที่เรารู้โดยอาศัยข้อมูลทางประสาทสัมผัสที่แน่วแน่
รัสเซลล์แบ่งความรู้ออกเป็น 2 ชนิด กล่าวคือ (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 99)
1)  ความรู้โดยประจักษ์ (Knowledge by Acquaintance) ความรู้ที่เกิดจากสิ่งที่รู้ซึ่งปรากฏแก่ผู้รู้โดยตรง โดยผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางใดทางหนึ่ง ความรู้ประเภทนี้คนเราจะต้องสัมผัสกับวัตถุที่ตนอยากรู้ ซึ่งจำเป็นที่คนเราจะต้องรู้ความสัมพันธ์ของวัตถุนั้นกับสิ่งอื่น ความรู้โดยประจักษ์นี้จัดเป็นความรู้โดยตรงหรือความรู้ตัววัตถุ (Object)
2)  ความรู้โดยการบรรยายหรือการบอกเล่า (Knowledge by Description) เป็นความรู้โดยอาศัยผู้อื่นบรรยายหรือผู้อื่นบอกเล่าอีกต่อหนึ่ง จะการอ่านตำราหนังสือเพื่อให้เกิดความรู้ก็เป็นความรู้โดยการบรรยายหรือการบอกเล่าเช่นกัน ความรู้ประเภทนี้ไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราจะรู้โดยตรงแต่เป็นการบรรยาย การบอกเล่าหรือหนังสือตำราจะปรากฏแก่ผู้อยากรู้อีกต่อหนึ่ง ความรู้ประเภทนี้จัดเป็นความรู้โดยอ้อม เพราะต้องอาศัยสื่อกลางกล่าวคือ ผู้สอน ผู้บรรยาย ผู้ชี้แนะ หรือตำราอีกต่อหนึ่ง เราจึงจะเกิดความรู้ได้
ในทัศนะของรัสเซลล์ โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ เราไม่สามารถจะรู้ได้แจ่มแจ้งถึงความจริงของมัน และไม่สามารถสืบรู้ไปถึงลักษณะบางส่วนของโลกที่ห่างไกลจากประสบการณ์ของเราได้ ตามความเป็นจริงแล้วมนุษย์เราไม่อยู่ในวิสัยที่จะตัดสิ้นชี้ขาดหรือตัดสินตกลงใจได้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิ่งที่สัมผัสหรือประจักษ์ด้วยตนเองไม่ได้ เช่น พระเจ้า วิญญาณ นรก สวรรค์ เป็นต้น ดังนั้น การที่จะนำเอาความรู้ของมนุษย์มาตัดสิ้นชี้ขาดว่าสิ่งใดจริง สิ่งใดไม่จริงนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ธรรมดา เนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่มีมนุษย์คนใดมีความรู้ขั้นอันติมะ (Ultimate) ซึ่งไม่สามารถจะตัดสินชี้ขาดลงไปได้ว่า อะไรจริง อะไรเท็จ ได้อย่างเด็ดขาดถูกต้องและก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิดอีกด้วย (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 100)

4.  ความรู้ของมนุษย์
การที่มนุษย์จะเชื่ออะไรนั้น ต้องอาศัยสามัญสำนึก ซึ่งรัสเซลล์เรียกว่า “ความเชื่อโดยสัญชาตญาณ” (Instinctive Belief) (Bertrand Russell, 1958: 37) รัสเซลล์กล่าวว่า มนุษย์ไม่สามารถชี้ขาดหรือตัดสินลงไปว่าความเป็นจริง (Reality) คืออะไร แต่สิ่งที่ควรสนใจให้มากคือวิธีการที่เราจะรู้ หรือเราสามารถมีความรู้ได้โดยวิธีใดบ้าง มนุษย์จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลทางประสาทสัมผัส (Sense-Data) หมายถึง แหล่งที่สามารถให้เกิดความรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensation) เช่น สี เสียง กลิ่น รส รูป ความหมาย ของวัตถุ เช่น โต๊ะ เป็นต้น เราสามารถเกิดการรับรู้ได้ทางประสาทสัมผัสได้เมื่อเราประสบกับโต๊ะนั้น ดังนั้น เมื่อเราเห็นสีของโต๊ะ เราจะรู้ทางประสาทสัมผัสในเรื่องนั้นทันที แต่ตัวสีของโต๊ะนั้นเป็นข้อมูลทางประสาทสัมผัส ไม่ใช่เป็นการรับรู้ทางประสาทสัมผัส การรับรู้ทางประสาทสัมผัส เช่น การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส การสัมผัสถูกต้องกับข้อมูลทางประสาทสัมผัสโดยตรง เพราะเรามีสามัญสำนึกหรือความเชื่อโดยสัญชาตญาณอยู่แล้ว จึงมีการคาดคะเนไปถึงสิ่งสิ่งนั้น
รัสเซลล์กล่าวว่า มนุษย์ไม่สามารถตัดสินว่า อะไรเป็นความจริงกันแน่ และความจริงชนิดนี้ รัสเซลล์กล่าวว่า จะต้องอาศัยสามัญสำนึกที่เรียกว่า “ความเชื่อโดยสัญชาตญาณ” (Instinctive Belief) จึงจะสามารถรู้สิ่งนั้นได้ เพราะสิ่งที่เราต้องรู้ในทัศนะของรัสเซลล์มีอยู่ 2 อย่าง กล่าวคือ (บุญมี แท่นแก้ว, 2543: 101-104)
1)  การรู้สิ่งของหรือวัตถุที่เราต้องการจะรู้ (Object) เป็นการรู้สิ่งที่ปรากฏขึ้นโดยธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 2 อย่าง
1.1) การรู้โดยตรง เป็นการรู้โดยไม่ต้องอาศัยสื่อกลางหรือไม่ต้องมีอุปกรณ์สื่อกลางเป็นการรู้โดยตรง (by acquaintance) ในรูปแบบนี้ยังสามารถแบ่งออกได้อีก 2 ระดับ กล่าวคือ
1) การประจักษ์และประสบด้วยตนเอง โดยอาศัยความทรงจำ (acquaintance by memory) เป็นความรู้โดยตรงเกิดจากความทรงจำ เป็นบ่อเกิดของความรู้ เช่น เรื่องเหตุการณ์ในอดีตที่เราเคยประสบมาและสามารถจำได้ ถ้าไม่มีความรู้ระดับนี้ก็ไม่สามารถอนุมานไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตได้
2) การประจักษ์และประสบด้วยตนเอง โดยการพินิจภายใน (acquaintance by introspection) เป็นการรู้โดยตรงที่เกิดจากการพินิจคิดใคร่ครวญภายในหรือตระหนักด้วยตัวของเราเอง เช่น เมื่อเราเห็นดวงจันทร์ เราพินิจใคร่ครวญ ตรึกตรองดูว่าเรากำลังมองเห็นดวงจันทร์ การเห็นดวงจันทร์เช่นนั้น จึงเป็นสิ่งที่เราประจักษ์หรือประสบมาด้วยตนเอง
1.2)  การรู้โดยทางอ้อม เป็นการรู้โดยอาศัยสื่อกลาง โดยมีการบอกเล่า การบรรยาย การพรรณนา การชี้แนะ (by description) การสั่นสอนของผู้อื่น หรือจากคัมภีร์ ตำราก็จัดเข้าในความรู้โดยทางอ้อม การรู้แบบนี้จำเป็นต้องอาศัยหลักเหตุผล หรือหลักการทั่วๆ ไปเข้ามาประกอบหรืออ้างอิงด้วย
2)  การรู้ความเป็นจริง (Reality) เป็นความรู้ความแท้จริงของสิ่งนั้นๆ เป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง แบ่งออกได้ 2 อย่าง กล่าวคือ
2.1)  การรู้โดยตรง เป็นการรู้โดยอาศัยญาณวิเศษ สามัญสำนึกหรืออัชฌัตติกญาณ (by intuition) เป็นความรู้ที่ผุดขึ้นเองในจิตใจมีลักษณะคล้ายปฏิภาณหรือญาณสังหรณ์
2.2)  การรู้โดยอ้อม เป็นการรู้โดยอาศัยการคิดใคร่ครวญวิเคราะห์ วิจัยพิจารณาด้วยเหตุและผล โดยอาศัยความรู้อย่างอื่นเป็นตัวกลางหรือเป็นสื่อกลางเข้าประกอบโดยอาศัยประสบการณ์บ้าง อาศัยความรู้เดิมที่ตนอยู่ที่น่าเชื่อถือบ้าง อาศัยคัมภีร์หรือตำราที่ถูกต้องที่น่าเชื่อถือบ้าง กล่าวคือ ความรู้โดยอ้อมเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นโดยสรุปความรู้อื่น หรือจากข้อมูลอื่นๆ นอกจากตัวเราเอง
การวิจารณ์ใคร่ครวญข้อความเพื่อให้เกิดความรู้จะเป็นโดยการบอกเล่า การบรรยาย การพรรณนา การชี้แนะ จนสามารถเข้าใจได้อย่างแจ่มชัด จะต้องอาศัยสิ่งที่เราประจักษ์หรือประสบการณ์ที่เราเคยประจักษ์ เคยคุ้นเคยมาแล้วทั้งสิ้นและจำเป็นต้องอาศัยการเสริมสร้างศรัทธาทางสัญชาตญาณ (instinctive belief) เป็นพื้นฐานเบื้องต้นเพื่อเป็นบ่อเกิดของความรู้

5.  สรุป
ญาณวิทยา (Epistemology) เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการตรวจสอบบ่อเกิดความรู้ หรือตรวจสอบแหล่งที่มาของความรู้  ศึกษาถึงกำเนิดธรรมชาติ ขอบเขตและความสมบูรณ์แห่งความรู้  ตลอดถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความรู้ พยายามหามาตรฐานว่าอะไรเป็นความรู้จริง และเรารู้ความจริงได้อย่างไร
สำหรับ เบอร์ทรันด์ อาร์เธร์ วิลเลียม รัสเซลล์ (Bertrand A.W. Russell) กล่าวว่า มนุษย์จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับข้อมูลทางประสาทสัมผัส เพราะแหล่งหรือบ่อเกิดของความรู้เกิดจากการรับรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensation) เช่น สี เสียง กลิ่น รส รูป ฯลฯ เป็นต้น รัสเซลล์ได้แยกระหว่างความรู้หรือความรู้สึก (เพทนาการ) เป็นประสบการณ์เพื่อให้เกิดความรู้ กับข้อมูลทางประสาทสัมผัสได้แก่สีที่เรารู้ออก กล่าวคือ เมื่อเราเห็นสีจะเกิดความรู้หรือความรู้สึก (เพทนาการ) ในเรื่องนั้นทันที ตัวสีนั้นเองเป็นข้อมูลทางประสาทสัมผัส ไม่ใช่ความรู้หรือความรู้สึก (เพทนาการ) รัสเซลล์กล่าวว่า ข้อมูลทางประสาทสัมผัสเป็นสิ่งเฉพาะเจาะจงในแต่ละบุคคล ข้อมูลทางประสาทสัมผัสจะมีอยู่ต่อเมื่อมีความรู้สึกเท่านั้น เช่น สีจะไม่ปรากฏให้เราถ้าเราหลับตาหรือคนตาบอด ดังนั้น สิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่มนุษย์เราสามารถรับรู้ได้โดยทางประสาทสัมผัสเท่านั้น บ่อเกิดของความรู้มาจากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส

บรรณานุกรม
1) บุญมี แท่นแก้ว.ปรัชญาตะวันตก.กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2527
2) บุญมี แท่นแก้ว.ปรัชญาเบื้องต้นทั่วไป.กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2524
3) บุญมี แท่นแก้ว.ญาณวิทยา ทฤษฎีความรู้. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2542
4) วิรุฬห์ บุญสมบัติ. การศึกษาธรรมชาติวิทยา. กรุงเทพมหานคร,จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2521
5) Bertrand Russell. The Problems of philosophy.London: George Allen and Unwin Ltd,1958
6) F. Mayer. A History of Modern Philosophy. New York : American Book Company, 1952
7) Frank thilly. A History of Philosophy. Allahabad : Central Book Depot, 1956



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น